Tag: สุภาษิตไทย น.

  • รู้จักสุภาษิตน้ำถึงไหน ปลาถึงนั่น ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตน้ำถึงไหน ปลาถึงนั่น ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ น. น้ำถึงไหน ปลาถึงนั่น น้ำถึงไหน ปลาถึงนั่น หมายถึง สุภาษิต “น้ำถึงไหน ปลาถึงนั่น” หมายถึง เมื่อมีสิ่งใดดึงดูดหรือเป็นที่สนใจ ก็ย่อมมีผู้คนหลั่งไหลตามไปเสมอ ไม่ว่าจะเป็นโอกาส ผลประโยชน์ หรือสิ่งเร้าอื่น ๆ เปรียบเสมือนเมื่อน้ำไหลไปถึงที่ใด ปลาในธรรมชาติก็มักตามไปถึงที่นั่นเช่นกัน สะท้อนพฤติกรรมมนุษย์ที่มักเคลื่อนไหวตามกระแสหรือผลประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้า กล่าวคือ “เมื่อมีสิ่งใดดึงดูดใจก็จะมีคนตามไปเสมอ” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการเปรียบเปรยความสัมพันธ์ระหว่างน้ำกับปลา ในบริบทของความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ กล่าวคือ เมื่อน้ำไหลไปถึงที่ใด ความชุ่มชื้นและทรัพยากรก็ย่อมตามไปถึงที่นั่นด้วย และปลาก็จะว่ายตามน้ำไปยังแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์เสมอ จึงใช้เป็นคำเปรียบเปรยถึงพฤติกรรมของผู้คนที่มักเคลื่อนไหวตามสิ่งล่อใจ โอกาส หรือผลประโยชน์ เมื่อมีสิ่งดีงามหรือความมั่งคั่งปรากฏ ณ ที่ใด ก็ย่อมมีคนตามไปที่นั่นไม่ต่างจากปลาที่ว่ายตามสายน้ำ ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตน้ำตาลใกล้มด ใครจะอดได้ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตน้ำตาลใกล้มด ใครจะอดได้ ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ น. น้ำตาลใกล้มด ใครจะอดได้ น้ำตาลใกล้มด ใครจะอดได้ หมายถึง สุภาษิต “น้ำตาลใกล้มด ใครจะอดได้” หมายถึง เมื่อสิ่งยั่วยวนหรือสิ่งที่น่าลิ้มลองอยู่ใกล้ตัว ใครก็มักอดใจไม่ไหว โดยเฉพาะเรื่องความรัก ความใกล้ชิด หรือสิ่งล่อใจที่กระตุ้นความอยากในใจคน เปรียบเสมือนน้ำตาลที่มีกลิ่นหอมหวานดึงดูดมด เมื่ออยู่ใกล้ มดย่อมอดใจไม่ไหว เช่นเดียวกับคนที่มีสิ่งเย้ายวนอยู่ใกล้ตัว ก็มักเผลอใจหรือตกเป็นเหยื่อของความรู้สึกหรืออารมณ์ได้ง่าย กล่าวคือ “ชายหญิงที่ใกล้ชิดกันมากย่อมห้ามใจไม่ให้รักกันได้ยาก” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการเปรียบเปรยจากพฤติกรรมตามธรรมชาติของมด ซึ่งชื่นชอบน้ำตาลเพราะเป็นแหล่งพลังงานสำคัญ และสามารถนำกลับไปเก็บไว้ในรังได้ เมื่อมดเข้าใกล้น้ำตาลจึงมักอดใจไม่ไหว ต้องเข้าไปลิ้มรสเสมอ เช่นเดียวกับคนที่อยู่ใกล้สิ่งยั่วยวน ก็มักเผลอใจยากจะหักห้าม สุภาษิตนี้ใช้ได้หลายบริบท โดยเฉพาะเรื่องความรักชายหญิง ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ น. เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ หมายถึง สุภาษิต “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ” หมายถึง คนที่ไม่เคยได้รับประโยชน์จากเรื่องใดเลย แต่กลับต้องรับภาระหรือถูกตำหนิจากสิ่งนั้นโดยไม่เป็นธรรม เปรียบเสมือนคนที่ไม่ได้กินเนื้อ ไม่ได้นั่งบนหนัง แต่กลับต้องแบกภาระอย่างกระดูกที่ไม่มีค่าอะไรมาแขวนคอไว้เอง เป็นภาพแทนของความเสียเปล่าและความไม่ยุติธรรมที่เกิดกับผู้ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง กล่าวคือ “ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ต้องมารับเคราะห์ไปกับคนที่เป็นต้นเหตุหรือเกี่ยวข้องโดยตรง” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากเหตุการณ์ในสมัยโบราณ เมื่อมีการลักวัวลักควาย โจรมักจะนำเครื่องใน กระดูก หรือเศษเนื้อหนังของวัวควายที่ขโมยมา ไปทิ้งไว้บริเวณบ้านของผู้อื่น เพื่อเบี่ยงเบนความผิดให้พ้นตัว เมื่อทางการหรือนายทหารมาตรวจพบซากสัตว์บริเวณบ้านผู้บริสุทธิ์นั้น ก็มักจะเข้าใจผิดและจับตัวเจ้าบ้านไปลงโทษ โดยระหว่างที่ถูกนำตัวไป ก็มักจะให้ผู้เคราะห์ร้าย “เอากระดูกควายมาแขวนคอ” เพื่อประจานต่อหน้าชาวบ้านว่าเป็นผู้ต้องหา ทั้งที่ความจริงแล้ว คนผู้นั้นไม่ได้กินเนื้อ ไม่ได้ใช้หนัง ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย แต่กลับต้องตกเป็นจำเลยสังคมและรับเคราะห์จากสิ่งที่ไม่ได้ก่อ จึงกลายมาเป็นสุภาษิตที่เปรียบเปรยถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องใดเลย แต่ต้องรับความผิดหรือความเดือดร้อนแทนผู้อื่นอย่างไม่เป็นธรรม มักถูกใช้กับบริบทของผู้ค้ำประกัน ไม่ว่าจะไปค้ำประกันซื้อรถให้ญาติพี่น้อง ค้ำประกันให้นักศึกษากู้ยืมเรียน หรือค้ำประกันรับคนเข้าทำงาน ล้วนแล้วแต่เป็นความเสี่ยงทางการเงินที่หลายคนมองข้าม ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตน้ำหยดลงหิน หินยังกร่อน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตน้ำหยดลงหิน หินยังกร่อน ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ น. น้ำหยดลงหิน หินยังกร่อน น้ำหยดลงหิน หินยังกร่อน หมายถึง สุภาษิต “น้ำหยดลงหิน หินยังกร่อน” หมายถึง ความพยายามอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ แม้จะดูเล็กน้อยหรือช้าเพียงใด หากทำอย่างไม่ย่อท้อก็สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ดูแข็งแกร่งหรือยากเย็นได้ในที่สุด เปรียบเสมือนหินที่แข็งแกร่งยังสามารถกร่อนได้ด้วยหยดน้ำเล็ก ๆ ที่ตกลงมาไม่หยุด เปรียบถึงความมุ่งมั่น อดทน และไม่ยอมแพ้ ที่สามารถเอาชนะอุปสรรคหรือความยากลำบากได้ในระยะยาว กล่าวคือ “การกระทำอะไรซ้ำ ๆ แบบเดิม ๆ ทุก ๆวัน ทุก ๆ เวลา ให้กับสิ่ง ๆ หนึ่ง ใช้เวลานานไม่เท่ากัน อาจจะไม่นาน หรือนานมาก ๆ ก็ได้ แต่สุดท้ายแล้ว ก็ประสบผลสำเร็จจากการทำซ้ำ ๆ นั้นจนได้ (มักใช้กับความรัก)” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หยดน้ำเล็ก ๆ ตกกระทบบนหินอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่มีแรงมากในแต่ละครั้ง แต่เมื่อสะสมเป็นเวลานาน หินที่แข็งก็ยังสึกกร่อนได้ จึงเปรียบเปรยถึงพลังของความพยายาม ความสม่ำเสมอ และความจริงใจ…

  • รู้จักสุภาษิตในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ น. ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว หมายถึง สุภาษิต “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินและธรรมชาติ ที่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนได้อย่างพอเพียง เปรียบถึงประเทศหรือพื้นที่ที่มีทรัพยากรพร้อมเพรียง ทั้งน้ำกิน น้ำใช้ พืชพันธุ์ อาหาร และสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เปรียบเสมือนแหล่งน้ำที่มีปลาหากินได้ และท้องนาที่มีข้าวปลูกไว้กินได้ สะท้อนถึงชีวิตที่เรียบง่ายแต่มั่นคง มีความพอเพียงและไม่ขาดแคลนในด้านอาหารและทรัพยากร กล่าวคือ “ดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ ผู้คนไม่อดอยากปากแห้ง โดยเทียบได้กับในแหล่งน้ำทุกที่มีปลาให้จับเป็นอาหารและในนาก็มีข้าวอุดมสมบูรณ์” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการสะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนไทยในอดีต ซึ่งผูกพันกับธรรมชาติและการเกษตรมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในภูมิประเทศที่มีแม่น้ำลำคลองและผืนนาอุดมสมบูรณ์ จึงมีการจับปลาจากแหล่งน้ำและปลูกข้าวในนาครบวงจรภายในชุมชนเดียวกัน คำว่า “ในน้ำมีปลา” หมายถึงแหล่งน้ำที่อุดมไปด้วยสัตว์น้ำซึ่งเป็นอาหารส่วน “ในนามีข้าว” หมายถึงการเพาะปลูกที่ได้ผลผลิตพอกินพอใช้ สุภาษิตนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อสื่อถึงความมั่งคั่งทางทรัพยากรธรรมชาติ ความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน และชีวิตที่พึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคง อีกทั้งยังเป็นคำบรรยายถึงประเทศไทยในฐานะ “อู่ข้าวอู่น้ำ” มาตั้งแต่โบราณ ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตน้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตน้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ น. น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย หมายถึง สุภาษิต “น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย” หมายถึง สิ่งที่ดูภายนอกว่ารุนแรง ตรงไปตรงมา หรือไม่น่ารื่นรมย์ เช่น คำพูดที่ฟังดูดุหรือร้อนแรง อาจมีเจตนาดีและไม่เป็นพิษภัยในทางกลับกัน สิ่งที่ดูเยือกเย็น สุภาพ หรือดูไร้พิษสงภายนอก เช่น คำพูดหวานหู กลับอาจแฝงไว้ด้วยอันตรายหรือเจตนาไม่ดี เปรียบได้กับปลาที่อยู่ในน้ำร้อนกลางแดด ซึ่งแม้ดูร้อนแรงแต่ปลากลับว่ายหนีได้ทันและไม่ถูกจับง่าย แต่ปลาที่อยู่ในน้ำเย็น ใต้แพผักบุ้งหรือร่มเงา กลับมักเป็นเหยื่อง่าย ถูกจับได้ง่ายแม้จะดูปลอดภัย กล่าวคือ “คำพูดที่ไพเราะอ่อนหวาน ซึ่งถูกใจผู้ฟัง แต่อาจเป็นโทษเป็นภัยได้ และคำพูดที่ตรงไปตรงมาแบบขวานผ่าซาก อาจไม่ถูกใจผู้ฟัง แต่ไม่เป็นพิษเป็นภัย” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้เป็นการเปรียบเปรยจากวิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อนที่อาศัยอยู่ริมน้ำ ซึ่งคุ้นเคยกับพฤติกรรมของปลาอย่างใกล้ชิด แม้จะฟังดูเหมือนพูดถึงอุณหภูมิของน้ำ แต่แท้จริงแล้ว ปลามักมีสัญชาตญาณหลบภัยโดยว่ายไปอยู่ใต้ร่มเงา เช่น ใต้ท่าน้ำ ใต้แพผักบุ้ง หรือใต้พืชน้ำที่ลอยอยู่ เพราะเกรงนกนักล่าที่อาจโฉบลงมาจิกกินจากด้านบน ซึ่งจุดที่ปลาเหล่านี้หลบอยู่นั้น “น้ำจะเย็น” เพราะมีร่มเงา และเป็นแหล่งรวมของปลาเป็นจำนวนมาก ทำให้สามารถจับได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณใต้แพผักบุ้งข้างท่าน้ำ ซึ่งคนโบราณนิยมปลูกไว้จิ้มน้ำพริกและใช้เป็นแหล่งล่อปลา…

  • รู้จักสุภาษิตน้ำสั่งฟ้า ปลาสั่งฝน ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตน้ำสั่งฟ้า ปลาสั่งฝน ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ น. น้ำสั่งฟ้า ปลาสั่งฝน น้ำสั่งฟ้า ปลาสั่งฝน หมายถึง สุภาษิต “น้ำสั่งฟ้า ปลาสั่งฝน” หมายถึง การแสดงความรู้สึกหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนการจากลา ไม่ว่าจะเป็นการอำลาอย่างอ่อนโยน การฝากฝัง หรือการสื่อความในใจครั้งสุดท้าย เปรียบได้กับฝนที่ตกหนักในช่วงท้ายของฤดูฝน ราวกับฟ้าสั่งลาน้ำ และปลาก็แสดงความรื่นเริงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนต้องลาจากแหล่งน้ำเดิมไปสู่ฤดูแล้งอันยาวนาน กล่าวคือ “การสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย, ทำสิ่งสำคัญเพื่อไว้อาลัยก่อนจากไป” นั่นเอง สุภาษิตนี้พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า “ฝนสั่งฟ้า ปลาสั่งหนอง” ก็ว่า ที่มาของสุภาษิต มาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติในช่วงปลายฤดูฝน ที่ฝนมักจะตกหนักอย่างผิดปกติ แตกต่างจากช่วงต้นหรือกลางฤดูฝนซึ่งฝนจะตกอย่างพอเหมาะ พอประมาณ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เมื่อถึงปลายฤดู ฝนจะตกลงมาอย่างหนักหน่วง ราวกับเป็นการอำลาครั้งสุดท้าย — ฝนฝากความสดชื่น ความชุ่มฉ่ำ และความทรงจำไว้แก่ผืนดิน ก่อนจะสิ้นสุดฤดูกาล และปล่อยให้ฤดูแล้งอันยาวนานเข้ามาแทนที่ ในขณะเดียวกัน ฝูงปลาก็จะออกมาเล่นน้ำอย่างร่าเริงเต็มที่ในฝนชุดสุดท้ายนี้ เก็บงำความสุขไว้ในใจ เพราะรู้ดีว่าเวลาแห่งความชุ่มฉ่ำกำลังจะหมดลง พวกมันจะต้องละทิ้งแหล่งน้ำตื้นที่เคยอุดมสมบูรณ์ เพื่ออพยพสู่แหล่งน้ำลึกที่ยังมีชีวิตรอดในฤดูแล้ง ภาพของฝนที่ตกหนักเป็นครั้งสุดท้ายกับปลาที่กำลังรื่นเริงอย่างรู้ว่ากำลังจะจากไป จึงถูกนำมาเปรียบเปรยเป็นสุภาษิตนี้ เพื่อสื่อถึงวาระสุดท้ายของการจากลา ที่ทั้งฟ้าและปลา ต่างก็แสดงออกซึ่งความรู้สึกอย่างสุดหัวใจ ราวกับเป็นคำสั่งลาส่งท้าย ก่อนทุกอย่างจะเปลี่ยนผ่านไปตามกาลเวลา ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตน้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตน้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ น. น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา หมายถึง สุภาษิต “น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา” หมายถึง สถานการณ์ในโลกย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อใครได้เปรียบในบางช่วง ก็อาจเสียเปรียบในอีกช่วงหนึ่ง ไม่มีใครอยู่เหนือกว่าตลอดไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลาและจังหวะของชีวิต เปรียบเสมือนตอนน้ำท่วม ปลาซึ่งว่ายน้ำได้ก็ขึ้นมากินมดบนบก แต่เมื่อถึงคราวน้ำลด มดที่อยู่บนพื้นดินกลับเป็นฝ่ายได้เปรียบ ออกมากินปลาที่ติดอยู่ตามแอ่งน้ำ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนและการพลิกผันของโชคชะตา กล่าวคือ “ใครทีมัน โอกาสของใครคนนั้นก็จะกระทำการได้เปรียบกว่าอีกฝ่าย แต่เมื่อถึงโอกาสของอีกฝ่าย ฝ่ายนั้นก็จะได้เปรียบบ้างเช่นกัน” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการเปรียบเทียบธรรมชาติของระบบนิเวศที่เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล โดยเฉพาะในสังคมเกษตรกรรมของไทยสมัยก่อน ซึ่งเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้อย่างลึกซึ้ง เมื่อ “น้ำมา” หรือช่วงน้ำหลาก ปลาที่ว่ายน้ำได้จะขึ้นมาบนบกและกินมดที่อยู่ตามดิน แต่เมื่อ “น้ำลด” หรือช่วงน้ำแล้ง ปลาบางตัวติดอยู่ตามแอ่งน้ำ มดจึงออกมากินปลากลับคืน เปรียบถึงเมื่อมีน้ำท่วมมดก็จะจมน้ำและถูกปลากิน แต่หากน้ำแห้งปลาก็จะถูกมดกัดกินได้เช่นกัน กับมนุษย์ก็ เช่นกัน สุภาษิตนี้จึงสะท้อนแนวคิดเรื่องความไม่แน่นอนของสถานการณ์ และการเปลี่ยนบทบาทของผู้ได้เปรียบเสียเปรียบตามจังหวะชีวิต พร้อมเตือนใจให้รู้จักถ่อมตน ไม่ประมาท เพราะผู้ที่อยู่เหนือในวันนี้ อาจกลายเป็นผู้เสียเปรียบในวันหน้า ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตน้ำลึกหยั่งได้ น้ำใจหยั่งยาก

    รู้จักสุภาษิตน้ำลึกหยั่งได้ น้ำใจหยั่งยาก

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ น. น้ำลึกหยั่งได้ น้ำใจหยั่งยาก น้ำลึกหยั่งได้ น้ำใจหยั่งยาก หมายถึง สุภาษิต “น้ำลึกหยั่งได้ น้ำใจหยั่งยาก” หมายถึง คนเรารู้หน้าตากัน แต่ไม่รู้ข้างในจิตใจว่าคิดดีหรือคิดร้ายอย่างไร เปรียบเสมือนเราสามารถหยั่งลึกลงไปในแม่น้ำเพื่อวัดระดับได้ แต่ไม่สามารถหยั่งลึกเข้าไปในใจของใครเพื่อรู้ความจริงแท้ที่ซ่อนอยู่ได้ แม้คนจะดูดี พูดดี ก็อาจมีเจตนาแอบแฝงอยู่ภายใน กล่าวคือ “ความคิดหรือจิตใจของคนเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก แม้ภายนอกจะดูดีเพียงใดก็อาจมีสิ่งซ่อนอยู่” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากคติธรรมของคนไทยในอดีต ที่ตระหนักถึงความลึกซึ้งและซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ โดยเปรียบเทียบกับธรรมชาติของน้ำ ซึ่งแม้จะลึกเพียงใดก็ยังสามารถวัดหรือหยั่งถึงได้ด้วยเครื่องมือหรือประสบการณ์ แต่สำหรับ “น้ำใจ” หรือความคิด ความรู้สึกภายในของมนุษย์นั้น กลับยากจะเข้าใจอย่างแท้จริง แม้จะสนิทสนมกันเพียงใดก็ตาม เพราะใจคนเปลี่ยนแปลงได้ ไม่แน่นอน และอาจมีสิ่งซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง สุภาษิตนี้จึงเป็นคำเตือนให้ระมัดระวังในการวางใจผู้อื่น และไม่ตัดสินใครจากเพียงแค่คำพูดหรือท่าทีภายนอก น้ำลึกเป็นเรื่องรูปธรรม เราหาวัตถุมาวัดได้ แต่น้ำใจเป็นเรื่องนามธรรม ไม่มีเครื่องวัด จิตใจคนนั้นยากแท้ที่จะรู้ว่าภายในใจคิดอย่างไร มีทัศนคติความคิด นิสัยใจคออย่างไร ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ น. น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง หมายถึง สุภาษิต “น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง” หมายถึง คนที่พูดมาก พูดเยอะ แต่พูดไม่มีสาระ หรือเนื้อหาสำคัญน้อย พูดวกไปวนมา ฟังดูยิ่งใหญ่หรือดูเหมือนมีเนื้อหา แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีอะไรเป็นสาระให้จับต้องได้ เปรียบเสมือนน้ำที่เอ่อล้นท่วมไปทั่วทุ่ง แต่กลับมีผักบุ้งขึ้นน้อยนิด แสดงถึงสิ่งที่ดูเหมือนจะมาก แต่เนื้อแท้กลับน้อยหรือว่างเปล่า กล่าวคือ “คนที่พูดมากแต่ได้เนื้อหาสาระน้อย” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการเปรียบเปรยในเชิงประชดประชัน โดยใช้ภาพของน้ำที่เอ่อล้นเต็มคลอน้ำ ลำธาร หรือทุ่งนา แต่กลับมีผักบุ้งขึ้นอย่างเบาบาง เพื่อสื่อให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่าง “ปริมาณที่ดูมาก” กับ “เนื้อหาที่มีอยู่น้อย” ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่พูดมากแต่ไร้สาระ กล่าวยืดยาวโดยไม่มีเนื้อหาแท้จริงให้จับต้อง สุภาษิตนี้จึงมักถูกใช้ในเชิงตำหนิหรือตักเตือน ให้พูดในสิ่งที่ตรงประเด็น มีสาระ และหลีกเลี่ยงการพูดมากเกินจำเป็นจนทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ น. น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า หมายถึง สุภาษิต “น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า” หมายถึง การพึ่งพาอาศัยกันระหว่างสองฝ่ายที่ต่างก็มีบทบาทสำคัญต่อกัน ไม่มีฝ่ายใดอยู่ได้อย่างสมบูรณ์โดยลำพัง จึงต้องเกื้อกูลกันอย่างสมดุลเพื่อความอยู่รอดและผลประโยชน์ร่วมกัน เปรียบเสมือนแม่น้ำที่ช่วยให้เรือสามารถลอยและเคลื่อนไปได้ และเรือที่ต้องอาศัยน้ำในการลอยตัว เช่นเดียวกับเสือที่ต้องพึ่งพาป่าในการดำรงชีวิต และป่าที่มีชีวิตชีวาก็เพราะมีสัตว์อย่างเสืออยู่ด้วย เป็นภาพแทนของความสัมพันธ์ที่เกื้อหนุนกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กล่าวคือ “สิ่งทั้งหลายนั้นย่อมต้องพึ่งพาอาศัยกัน เอื้อประโยชน์แก่กัน” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการสังเกตธรรมชาติและวิถีชีวิตของคนไทยในอดีต ที่เปรียบเปรยความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน โดยเห็นว่าทุกสิ่งล้วนต้องพึ่งพาอาศัยกัน คำว่า “น้ำพึ่งเรือ” สื่อถึงการที่แม่น้ำช่วยให้เรือสามารถลอยและเคลื่อนไปได้ ส่วน “เรือพึ่งน้ำ” ก็คือเรือเองก็ต้องอาศัยน้ำในการเดินทาง เช่นเดียวกับ “เสือพึ่งป่า” ที่ป่าเป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของเสือ และ “ป่าพึ่งเสือ” ในแง่ที่เสือช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศในป่า สุภาษิตนี้จึงกลายเป็นบทเรียนทางสังคมที่สื่อให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันอย่างมีน้ำใจ เกื้อกูล และไม่เห็นแก่ตัว เพื่อให้ทุกฝ่ายดำรงอยู่ได้อย่างสมดุลและยั่งยืน ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตนอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตนอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ น. นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น หมายถึง สุภาษิต “นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น” หมายถึง คนที่ไม่เอาใจใส่หรือไม่สนใจสิ่งรอบตัว ย่อมไม่รู้เรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้สิ่งนั้นจะสำคัญหรือเกิดขึ้นใกล้ตัวก็ตาม เปรียบเสมือนคนที่นอนหลับหรือขดตัวอยู่เฉย ๆ ย่อมไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นรอบตัว หลับเป็นตายไม่สนใจอะไร กล่าวคือ “คนที่ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น, ไม่รู้อีโหน่อีเหน่” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการเปรียบเปรยถึงกับคนที่นอนหลับสนิทถึงขั้น “หลับเป็นตาย” หรือหลับลึกจนไม่รับรู้เหตุการณ์ใด ๆ รอบตัว แม้จะเกิดเหตุร้ายแรง เช่น ไฟไหม้บ้าน ถ้าไฟยังไม่ลุกลามมาถึงตัวก็อาจไม่รู้สึกตัว เปรียบได้กับคนที่เพิกเฉย ไม่สนใจ ไม่รับรู้ ไม่ใส่ใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างเลย แม้จะเป็นเหตุการณ์สำคัญก็ตาม คำว่า “นอนหลับไม่รู้” จึงใช้เปรียบกับความไม่ใส่ใจโดยสมบูรณ์ หลับไม่รู้อะไรเลย ส่วนคำว่า “นอนคู้ไม่เห็น” ขดตัว นอนงอ เหมือนแมวหลับสนิท ไม่มองรอบข้าง สุภาษิตนี้จึงสื่อเตือนใจว่า คนที่เฉยเมยต่อสิ่งรอบตัว หรือจงใจไม่สนใจอะไรเลย ย่อมไม่มีทางเข้าใจความเป็นไปของโลก ไม่สามารถแก้ปัญหา รับผิดชอบ…