Tag: สุภาษิตไทย บ.
-
รู้จักสุภาษิตบุญทำกรรมแต่ง ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ บ. บุญทำกรรมแต่ง บุญทำกรรมแต่ง หมายถึง สุภาษิต “บุญทำ กรรมแต่ง” หมายถึง บุญหรือบาปที่ทำไว้ในชาติก่อนมีผลต่อรูปร่าง หน้าตา หรือชีวิตของเราในชาตินี้ โดย “บุญทำ” หมายถึงการทำสิ่งดีในชาติก่อนที่ทำให้ชีวิตในปัจจุบันเป็นไปในทางดี ส่วน “กรรมแต่ง” หมายถึงผลจากการกระทำที่ไม่ดีในอดีตที่ส่งผลทำให้ชีวิตในปัจจุบันต้องเผชิญกับสิ่งไม่ดี เปรียบเสมือนการที่บุญหรือกรรมจากอดีตมีอิทธิพลต่อชีวิตปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะชีวิตที่ดีหรือไม่ดี มาจากการกระทำของเราในอดีต กล่าวคือ “บุญหรือบาปที่ทำไว้ในอดีตชาติ อันเป็นเหตุทำให้รูปร่างหน้าตาหรือชีวิตในชาตินี้ สวยงาม ดี ชั่ว ต่างกันไป” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากความเชื่อในเรื่องกรรมและผลกรรมตามหลักพระพุทธศาสนา ซึ่งเชื่อว่าบุญหรือบาป ที่เราทำในชาติก่อนจะส่งผลต่อชีวิตของเราในชาตินี้ ทั้งในด้านรูปร่าง หน้าตา และโชคชะตา คนที่ทำบุญไว้ดีในชาติก่อนก็จะได้รับผลดีในชีวิตปัจจุบัน เช่น หน้าตาสวยงาม สุขภาพดี หรือชีวิตที่มีความสุข ขณะที่ผู้ที่ทำกรรมไม่ดีหรือบาปจะได้รับผลที่ไม่ดีตามมา ท่านจึงนำมาอุปมาอุปไมยเป็นสุภาษิตนี้นั่นเอง สุภาษิตนี้สื่อถึงการที่บุญและกรรม ที่เราทำในอดีต (ทั้งในชาตินี้และชาติก่อน) เป็นเหตุผลหลักในการกำหนดชีวิตและโชคชะตาของเราในปัจจุบัน ตัวอย่างการใช้สุภาษิต สุภาษิตที่ความหมายคล้ายกัน
-
รู้จักสุภาษิตบ้านเคยอยู่ อู่เคยนอน ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ บ. บ้านเคยอยู่ อู่เคยนอน บ้านเคยอยู่ อู่เคยนอน หมายถึง สุภาษิต “บ้านเคยอยู่ อู่เคยนอน” หมายถึง การกลับไปหาสถานที่หรือสิ่งที่เคยคุ้นเคยและรู้สึกสบายใจ เป็นการย้อนกลับไปยังที่ที่เคยมีความสุข หรือเคยมีความสัมพันธ์ที่ดี โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ แต่ยังคงเป็นที่ที่ทำให้รู้สึกมั่นคงและคุ้นเคย เปรียบเสมือนการกลับไปหาความสะดวกสบายในสถานที่ที่เคยเป็นบ้านหรือที่ที่เคยนอน เมื่อเรารู้สึกว่าทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ต้องการ จึงกลับไปหาสิ่งที่เคยทำให้รู้สึกปลอดภัยและสบายใจ กล่าวคือ “สถานที่ตนเคยอยู่อาศัยมาก่อน” นั่นเอง ที่มาขงอสุภาษิต มาจากความสัมพันธ์ระหว่างคนและสถานที่ที่เคยคุ้นเคยหรือเคยได้รับความสะดวกสบาย โดยคำว่า “บ้านเคยอยู่” หมายถึงบ้านที่เคยอาศัยหรือสถานที่ที่ให้ความอบอุ่น ส่วนคำว่า “อู่เคยนอน” หมายถึงที่ที่เคยหลับนอน เช่น อู่บ้าน หรืออู่ของเรือที่ให้ที่หลบพักหรือความปลอดภัยในยามที่ต้องการพักผ่อน ท่านจึงนำมาอุปมาอุปไมยเป็นสุภาษิตนี้ โดยรวมแล้วสุภาษิตนี้สื่อถึงการหวนกลับไปหาที่ที่เคยให้ความสุขหรือความปลอดภัยเมื่อเกิดความยากลำบากหรือเมื่อชีวิตไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง การกลับไปหาความรู้สึกที่เคยคุ้นเคยและมั่นคง เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยและสบายใจ ตัวอย่างการใช้สุภาษิต
-
รู้จักสุภาษิตบนข้าวผี ตีข้าวพระ ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ บ. บนข้าวผี ตีข้าวพระ บนข้าวผี ตีข้าวพระ หมายถึง สุภาษิต “บนข้าวผี ตีข้าวพระ” หมายถึง การขอให้ผีสางเทวดาช่วยเหลือ โดยสัญญาว่าจะทำการแก้บนเมื่อได้ผลตามที่ขอ และเมื่อสำเร็จประสงค์แล้ว จะทำการถวายสิ่งที่เหมาะสม เช่น ข้าวพระ ซึ่งหมายถึงการให้สิ่งดี ๆ เพื่อแก้บนหรือขอบคุณ ส่วน “ตีข้าวพระ” เปรียบเสมือนการถวายข้าวให้พระสงฆ์ตามพิธีกรรมที่ถือเป็นการให้ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เปรียบเสมือนการขอสิ่งที่ดีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อได้รับผลลัพธ์ ก็จะตอบแทนหรือทำสิ่งที่ดีเพื่อเป็นการขอบคุณ ไม่ใช่แค่การให้สิ่งที่ไม่มีคุณค่าหรือไม่เหมาะสม กล่าวคือ “การขอร้องให้ผีสางเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ โดยจะแก้บนเมื่อสำเร็จประสงค์แล้ว” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มาจากการเปรียบเทียบการทำพิธีกรรมทางศาสนาและความเชื่อ การขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือและการสัญญาว่าจะตอบแทนเมื่อประสงค์สำเร็จ เช่น การบนขอให้ได้สิ่งที่ต้องการจากผีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยสัญญาจะถวายข้าวหรือของดีให้พระหรือผี (สิ่งศักดิ์สิทธิ์) เมื่อได้รับผลตามที่ขอ ความหมายสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการตอบแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมื่อได้รับความช่วยเหลือ ตามความเชื่อในวัฒนธรรมไทยโบราณ จึงเป็นการพูดถึงการขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือผีสางเทวดาช่วยเหลือและการตอบแทนหรือแก้บนโดยการถวายสิ่งที่เป็นของศักดิ์สิทธิ์หรือเหมาะสมตามความเชื่อ สุภาษิตนี้เป็นสุภาษิตโบราณที่แทบไม่ค่อยได้ยินคนพูดแล้ว ปัจจุบันมักใช้เป็น “บนบานสารกล่าว” แทน ตัวอย่างการใช้สุภาษิต
-
รู้จักสุภาษิตบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ที่มาและความหมาย
สุภาษิตไทยหมวดหมู่ บ. บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น หมายถึง สุภาษิต “บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น” หมายถึง การทำสิ่งใดต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดผลเสียหรือความเสียหายต่อสิ่งอื่น ๆ ทั้งที่เราต้องการผลลัพธ์ที่ดี โดยไม่ทำให้สถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อมรอบข้างเสียหาย เปรียบเสมือนการเด็ดดอกบัวจากน้ำต้องระวังไม่ให้ดอกบัวช้ำ และน้ำไม่ขุ่น แม้จะได้ดอกบัวที่สวย แต่ต้องไม่ทำให้สิ่งอื่นเสียหายไปด้วย กล่าวคือ “การรู้จักผ่อนปรนเข้าหากัน มิให้กระทบกระเทือนใจกัน, การรู้จักถนอมนํ้าใจไม่ให้ขุ่นเคืองกัน, บัวไม่ให้ชํ้า นํ้าไม่ให้ขุ่น ก็ว่า” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต สุภาษิตนี้มาจากการเปรียบเทียบการเด็ดดอกบัวจากน้ำ ซึ่งบัวมีเหง้าอยู่ในตม ส่วนดอกจะโผล่พ้นน้ำ หากเราดึงดอกบัวขึ้นจากน้ำอย่างแรง ดอกบัวจะช้ำและทำให้เหง้าที่อยู่ในตมกระจายขึ้นมาทำให้น้ำขุ่น แม้จะได้ดอกบัวที่สวย แต่กลับทำให้น้ำเสียหายขุ่นด้วยโคลนตมไปด้วย การเปรียบเทียบนี้สะท้อนถึงการจัดการปัญหาหรือสถานการณ์ที่ยากลำบาก หากเราพยายามแก้ปัญหาโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งอื่น ๆ ก็จะทำให้ทุกอย่างเสียหายไปด้วย ดังนั้น การจัดการต้องระมัดระวังและรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเกินจำเป็น ตัวอย่างการใช้สุภาษิต