Tag: สุภาษิตไทย ป.

  • รู้จักสุภาษิตไปวัดไปวาได้ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตไปวัดไปวาได้ ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ป. ไปวัดไปวาได้ ไปวัดไปวาได้ หมายถึง สุภาษิต “ไปวัดไปวาได้” หมายถึง ผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาดีพอจะอวดเขาได้ หรือหน้าตาดีพอที่จะไปอวดผู้อื่นได้ โดยไม่อายใคร เปรียบเสมือนการมีรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายที่ดี พอสมควรแก่การไปยังสถานที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์อย่างวัดวาอาราม โดยไม่รู้สึกอายหรือเสียหน้าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน กล่าวคือ “คนที่มีรูปร่างหน้าตาดีพอจะอวดเขาได้” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากค่านิยมของคนไทยในสมัยก่อน ที่ถือว่าวัดวาอารามไม่เพียงเป็นสถานที่ประกอบศาสนพิธี แต่ยังเป็นศูนย์รวมของชุมชนในวันพระหรืองานบุญต่าง ๆ ผู้คนที่ไปร่วมงานมักจะแต่งกายให้ดูดี เพื่อแสดงฐานะและอวดโฉมต่อกัน บ้านใดมีเครื่องประดับใหม่ก็มักสวมใส่ไปอวดในงานวัด ขณะเดียวกัน หนุ่มสาวก็มักพาแฟนไปอวดกันและเปรียบเทียบว่าใครหน้าตาดีหรือแต่งกายงดงามกว่ากัน ด้วยเหตุนี้ การที่จะไปวัดก็ต้องดูดีทั้งหน้าตาและการแต่งกายพอที่จะไปอวดที่วัดวาอารามได้ จึงเป็นที่มาของสุภาษิต ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตไปตายเอาดาบหน้า ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตไปตายเอาดาบหน้า ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ป. ไปตายเอาดาบหน้า ไปตายเอาดาบหน้า หมายถึง สุภาษิต “ไปตายเอาดาบหน้า” หมายถึง การตัดสินใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่มีการวางแผนล่วงหน้า ปล่อยให้อนาคตหรือสถานการณ์ข้างหน้ามากำหนดเอาเองว่าจะเป็นอย่างไร ใช้เมื่อต้องเสี่ยงกับโชคชะตาหรือไม่มีทางเลือกอื่น เปรียบเสมือนเหมือนนักรบที่ไม่มีทางถอย ต้องวิ่งเข้าสู้ศัตรูโดยไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ แต่ก็เลือกจะไปเผชิญหน้ากับดาบข้างหน้าด้วยความจำยอม กล่าวคือ “การยอมไปเผชิญกับความทุกข์และความลำบากข้างหน้า” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากวิถีชีวิตนักรบในสมัยโบราณ เมื่อต้องออกรบแต่ไม่มีการเตรียมการที่ดี หรือไม่อาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์ได้ ก็จำเป็นต้องบุกตะลุยไปข้างหน้าโดยไม่รู้ชะตากรรมว่าจะรอดหรือตาย เหมือนกับการ “วิ่งเข้าหาดาบของศัตรู” ซึ่งเป็นการยอมฝากชีวิตไว้กับโชคชะตาและสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า และในกองทัพสมัยโบราณ มักมีนายกองขี่ม้าถือดาบคอยควบคุมกองกำลังอยู่ หากการรบเริ่มขึ้นแล้ว ทหารคนใดหันหลังหนี ย่อมถูกนายกองฟันคอทันที เพราะถือว่าผิดอาญาศึก นอกจากนี้ ยังมีบทลงโทษที่เข้มงวดกว่านั้น หากทหารแถวหน้าแตกทัพหรือหนีทัพ ทหารแถวหลังก็มีสิทธิ์ฟันคอผู้ที่หนีได้เช่นกัน ดังนั้นทหารทุกคนจึงไม่อาจถอยหลังหรือหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้ ทางเดียวคือเดินหน้าสู้ตาย แม้ต้องเสี่ยงเผชิญหน้ากับดาบของศัตรูข้างหน้าก็ตาม ต่อมา คนสมัยก่อนจึงนำมาเปรียบเปรยกับการใช้ชีวิตหรือการตัดสินใจแบบไม่มีการวางแผนล่วงหน้า ยอมเสี่ยงดวงหรือฝากอนาคตไว้กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น คล้ายการบอกว่า “ทำไปก่อน แล้วค่อยว่ากันทีหลัง” ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตไปไหนมา สามวาสองศอก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตไปไหนมา สามวาสองศอก ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ป. ไปไหนมา สามวาสองศอก ไปไหนมา สามวาสองศอก หมายถึง สุภาษิต “ไปไหนมา สามวาสองศอก” หมายถึง การถามอย่างหนึ่ง ตอบไปอีกอย่างหนึ่ง คือการพูดหรือตอบไม่ตรงคำถาม อาจเกิดจากการฟังไม่เข้าใจ ฟังไม่ชัด หรือไม่ได้ยินสิ่งที่ผู้ถามถามจริง ๆ อีกทั้งยังอาจเป็นการตั้งใจเลี่ยงไม่ตอบตรง ๆ เพราะกลัวจะกระทบกับบางเรื่อง จึงใช้วิธีตอบอย่างอื่นเพื่อกลบเกลื่อน หรือเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ถามออกจากประเด็นหลัก เสมือนเรื่องราวจากคนที่เพิ่งได้เรือใหม่ มีคนถามว่า “ไปไหนมา” แต่เขาตอบเรื่องความยาวเรือเป็น “สามวาสสองศอก” (ยาวประมาณ 7 เมตร) ทำให้คำตอบไม่ตรงกับคำถาม กล่าวคือ “การถามคำหนึ่งแต่ตอบอีกอย่าง, การพูด/ตอบไม่ตรงคำถาม” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากเรื่องเล่าจากศรีธนนชัย เรื่องมีอยู่ว่ามีชายคนหนึ่งเพิ่งได้เรือใหม่ รู้สึกดีใจและอยากอวดชาวบ้าน เมื่อพายเรือกลับบ้าน มีชาวบ้านที่ท่าน้ำทักทายว่า “ไปไหนมา?” แต่ชายผู้นั้นไม่ได้ฟังคำถามให้ดี คิดว่าจะถามถึงความยาวของเรือ จึงตอบว่า “สามวาสสองศอก” (ความยาวประมาณ 7 เมตร) ทั้งที่คำถามจริง ๆ คือถามถึงการไปไหนมา “สามวาสสองศอก” เป็นขนาดความกว้างด้านสกัดของเรือไทยภาคกลางแบบนิยม…

  • รู้จักสุภาษิตปากปราศรัย ใจเชือดคอ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตปากปราศรัย ใจเชือดคอ ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ป. ปากปราศรัย ใจเชือดคอ ปากปราศรัย ใจเชือดคอ หมายถึง สุภาษิต “ปากปราศรัย ใจเชือดคอ” หมายถึง คนที่ปากพูดดี มีไมตรี แสดงออกเหมือนเป็นมิตร แต่ในใจกลับคิดร้ายและพร้อมจะทำลายเรา เปรียบเสมือนปากที่กล่าวถ้อยคำปราศรัยทักทายด้วยความสุภาพ แต่ในใจกลับคิดไม่ดี ประหนึ่งว่ามีมีดอยู่ในปากพร้อมจะเชือดคอ กล่าวคือ “การพูดจาดี มีสัมมาคารวะ อ่อนหวาน แต่ในใจกลับคิดร้าย มุ่งร้ายต่อผู้อื่น” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการสังเกตนิสัยของคนที่ภายนอกพูดจาดี สุภาพ ให้ความเป็นมิตร แต่ภายในกลับคิดร้ายพร้อมจะทำลายผู้อื่น โบราณจึงใช้คำเปรียบว่า “ปากปราศรัย” หมายถึง ปากที่เอื้อนเอ่ยคำทักทายเหมือนเพื่อนหรือมิตร ส่วน “ใจเชือดคอ” หมายถึง ความคิดอันแฝงไว้ด้วยการทำร้ายผู้อื่น ถึงแม้ถ้อยคำภายนอกจะอ่อนโยน แต่ภายในเต็มไปด้วยอันตรายที่พร้อมจะทำลาย เหมือนการซ่อนมีดไว้หลังคำพูดไพเราะ จึงรวมสองประโยคนี้ให้พูดคลองจ้องสละสลวย โบราณจึงเตือนให้ระวังคนเช่นนี้ อย่าหลงเชื่อหรือหลงคารม เพราะเบื้องหลังคำพูดที่ไพเราะอาจแฝงด้วยอันตราย ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยปลาลงน้ำ ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยปลาลงน้ำ ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ป. ปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยปลาลงน้ำ หมายถึง สุภาษิต “ปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยปลาลงน้ำ” หมายถึง การปล่อยศัตรูไปอาจกลับมาทำร้ายภายหลังอีก หรือปล่อยศัตรูที่เราจับตัวมาได้กลับไปสู่อิสรภาพ หรือปล่อยคืนถิ่นเดิมของคน ๆ นั้น ซึ่งทำให้คนผู้นั้นจะกลับมามีพลังอำนาจเหมือนดั่งเคย เปรียบเสมือนการปล่อยสัตว์ดุร้ายกลับคืนสู่ที่ที่มันถนัด ย่อมสร้างโทษภัยตามมาในภายหลัง กล่าวคือ “การปล่อยศัตรูไปอาจกลับมาทำร้ายภายหลังอีก” นั่นเอง ที่มาของสำนวน มาจากเปรียบเปรยถึงการปล่อยสัตว์สำคัญที่จับได้กลับคืนสู่แหล่งที่อยู่เดิมของมัน เสมือนการปล่อยเสือเข้าป่า หรือปล่อยปลาลงน้ำ เพราะเสือย่อมดำรงชีวิตอยู่ได้ในป่า และปลาก็ย่อมอยู่ได้ในน้ำตามธรรมชาติ เมื่อสัตว์เหล่านี้กลับสู่ถิ่นที่มันถนัด ก็ย่อมมีอำนาจและความได้เปรียบเหนือกว่าเรา เปรียบได้กับการปล่อยศัตรูให้กลับไปสู่สิ่งแวดล้อมและโอกาสที่เอื้อต่อการกระทำผิด ย่อมทำให้พวกเขามีกำลังและช่องทางที่จะก่อความเสียหายได้มากขึ้น ตัวอย่างการใช้สำนวน

  • รู้จักสุภาษิตปากคนยาวกว่าปากกา ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตปากคนยาวกว่าปากกา ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ป. ปากคนยาวกว่าปากกา ปากคนยาวกว่าปากกา หมายถึง สุภาษิต “ปากคนยาวกว่าปากกา” หมายถึง คำพูดของคนสามารถแพร่กระจายไปได้รวดเร็วและกว้างไกลกว่าปากของอีกา ทั้งที่ปากของอีกานั้นยาวกว่าคนจริง ๆ แต่กลับไม่อาจส่งผลให้เรื่องราวลุกลามได้เท่ากับคำพูดของคน โดยเฉพาะในด้านข่าวลือ การนินทา หรือการกล่าวร้าย เปรียบเสมือนปากของคนกับอีกา แม้อีกาจะมีปากยาวและมีปีกบินไปได้ไกล แต่ปากของคนซึ่งสั้นกว่ากลับทำให้เรื่องราว ข่าวสาร หรือคำนินทาแพร่สะพัดออกไปได้กว้างขวางและรวดเร็วยิ่งกว่า กล่าวคือ “ปากคนเรานั้นพูดเล่าลือต่อปากกันไปได้ไกล เพราะคนสามารถแพร่ข่าวได้เร็วกว่ากา” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากการเปรียบเทียบปากของอีกาโดยธรรมชาติมีรูปร่างยาวกว่าปากของมนุษย์ แต่แม้ปากของคนจะสั้นกว่า กลับสามารถพูดเล่าเรื่องราว ข่าวสาร หรือคำนินทาให้แพร่สะพัดออกไปได้ไกลและเร็วยิ่งกว่า โบราณจึงเปรียบเปรยว่า “ปากคนนั้นยาวกว่า” เพราะคำพูดของคนสามารถกระจายไปได้รวดเร็วและกว้างขวางกว่าปากของอีกาเสียอีก ทั้งที่อีกามีทั้งปีกและการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วกว่ามนุษย์ก็ตาม สุภาษิตนี้จึงตอกย้ำให้เห็นอานุภาพของวาจา โดยเฉพาะการพูดในทางลบ การให้ข่าว หรือการนินทาว่าร้าย ที่สามารถส่งผลได้กว้างไกลกว่าที่คาดคิด ปากของอีกายาวกว่าปากคน แต่ปากคนนั้นพูดเล่าลือต่อปากกันไปได้ไกล ผิดกับกาแม้ปากจะยาว แต่ก็ต่อปากต่อคำอย่างคนไม่ได้ ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • สุภาษิตไทยปลาหมอตายเพราะปาก ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยปลาหมอตายเพราะปาก ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ป. ปลาหมอตายเพราะปาก ปลาหมอตายเพราะปาก หมายถึง สุภาษิต “ปลาหมอตายเพราะปาก” หมายถึง คนที่พูดไม่ระวังปากหรือพูดโดยไม่คิดให้รอบคอบ จนคำพูดนั้นกลับกลายเป็นสาเหตุให้ตัวเองเดือดร้อนหรือได้รับอันตราย เปรียบเสมือนปลาหมอที่ว่ายอยู่ในน้ำอย่างปลอดภัย แต่เมื่อเผลอโผล่ปากขึ้นมาหรืออ้าปากเกินจำเป็น ก็อาจถูกจับได้ง่าย ทำให้ชีวิตต้องจบลงเพราะการกระทำของตัวเอง กล่าวคือ “คนที่พูดพล่อย หรือพูดไม่ระวังปากจนได้รับอันตราย” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากธรรมชาติของ “ปลาหมอ” ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดที่ต้องโผล่ปากขึ้นมาเพื่อหายใจและรับอากาศเหนือน้ำอยู่เสมอ โดยการอ้าปากพร้อมกับลอยตัวกันเป็นกลุ่ม ทำให้ตกเป็นเป้าหมายของคนหรือนักล่าง่ายกว่าปลาชนิดอื่น ๆ คนโบราณจึงนำพฤติกรรมนี้มาเปรียบเปรยกับมนุษย์ ว่าหากพูดโดยไม่ระวัง หรือใช้วาจาเกินความจำเป็น อาจกลายเป็นช่องทางให้ผู้อื่นจับผิดหรือใช้เป็นเหตุทำร้าย จนตนเองต้องเดือดร้อนในที่สุด ตัวอย่างการใช้สุภาษิต

  • รู้จักสุภาษิตปลาใหญ่กินปลาเล็ก ที่มาและความหมาย

    รู้จักสุภาษิตปลาใหญ่กินปลาเล็ก ที่มาและความหมาย

    สุภาษิตไทยหมวดหมู่ ป. ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาใหญ่กินปลาเล็ก หมายถึง สุภาษิต “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” หมายถึง ผู้ที่มีอำนาจหรือกำลังมากกว่าย่อมเอารัดเอาเปรียบหรือครอบงำผู้ที่อ่อนแอกว่า เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง เปรียบเสมือนปลาตัวใหญ่ไล่กินกินปลาตัวเล็กเป็นอาหาร เหมือนกับในสังคมที่คนหรือองค์กรที่มีอำนาจเหนือกว่ามักเอาเปรียบหรือกดขี่คนที่ด้อยกว่า กล่าวคือ “ประเทศหรือคนที่มีอำนาจหรือผู้ใหญ่ที่กดขี่ข่มเหงผู้อ่อนแอหรือผู้น้อย” นั่นเอง ที่มาของสุภาษิต มาจากธรรมชาติของสัตว์น้ำ ซึ่งมีกฎแห่งการอยู่รอด (Survival of the Fittest) โดยปลาที่มีขนาดใหญ่และมีกำลังมากกว่าจะไล่ล่าจับปลาที่มีขนาดเล็กกว่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร ภาพของ “ปลาใหญ่ไล่กินปลาเล็ก” เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปทั้งในแม่น้ำ บึง ทะเล หรือแม้แต่ในบ่อเลี้ยงปลา และด้วยความชัดเจนของภาพเหตุการณ์นี้ คนโบราณจึงนำมาสร้างเป็นคำสุภาษิตเพื่อเปรียบเทียบกับสังคมมนุษย์ ในบริบทของชีวิตจริง สุภาษิตนี้มักใช้สื่อถึงความไม่เท่าเทียมกันทางอำนาจ ฐานะ หรือกำลัง เมื่อผู้ที่มีอำนาจหรือศักยภาพสูงกว่าใช้ความได้เปรียบกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ หรือครอบงำผู้ที่อ่อนแอกว่า เช่น บริษัทใหญ่ฮุบกิจการเล็ก ผู้มีอำนาจทางการเมืองเอาเปรียบประชาชน หรือคนที่ร่ำรวยกว่ากดขี่คนยากจน สุภาษิตนี้จึงไม่เพียงแต่สะท้อนภาพความเป็นจริงของธรรมชาติ แต่ยังเป็นคำเตือนใจให้ตระหนักถึงความเหลื่อมล้ำในสังคม พร้อมทั้งกระตุ้นให้คนพยายามพัฒนาตนเองให้มีความสามารถและความเข้มแข็งพอที่จะไม่ตกเป็น “ปลาเล็ก” ในโลกที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ตัวอย่างการใช้สุภาษิต